ดาวฤกษ์ทุกดวงมีความเหมือนกันอยู่ 2 ประการ
คือ
1.
มีพลังงานในตัวเอง ( เกิดจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น
2.
เป็นแหล่งกำเนิดธาตุต่าง ๆ เช่น
ธาตุฮีเลียม ลิเทียม เบริลเลียม เป็นต้น
ดาวฤกษ์มีความแตกต่างกันในเรื่องของ มวล อุณหภูมิผิวหรือสีหรืออายุ
องค์ประกอบทางเคมี ระยะห่าง ความสว่าง ระบบดาวและวิวัฒนาการ เป็นต้น
การสังเกตความแตกต่างของดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์
สามารถพิจารณาได้
4
วิธี คือ
1. สังเกตการส่องแสงของดวงดาว ถ้าดวงดาวนั้นกระพริบแสงจัดเป็นดาวฤกษ์
แต่ถ้าดาวดวงนั้นมีแสงสว่างนวลนิ่งจัดเป็นดาวเคราะห์
2. สังเกตการเคลื่อนที่ ถ้าดาวแต่ละดวงไม่เคลื่อนที่และเกาะกลุ่มกันอยู่ในตำแหน่งเดิมก็จัดเป็นดาวฤกษ์
ส่วนดวงมีการเคลื่อนที่ไม่อยู่ ณ
ตำแหน่งเดิมเมื่อเทียบกับดาวส่วนใหญ่จัดเป็นดาวเคราะห์
3. ดาวฤกษ์จะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่
4. ถ้าดูดาวฤกษ์ด้วยกล้องโทรทรรศน์
จะไม่เห็นเป็นดวงกลมโตเพรา
ะอยู่ไกลโลกมาก
กำเนิดของดาวฤกษ์
ดาวฤกษ์เกิดขึ้นจากกลุ่มแก๊สและฝุ่นรวมตัวกัน
ซึ่งเรียกว่า เนบิวลา ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไฮโดรเจน ที่รวมตัวกันจนอุณหภูมิและความกดดันสูงมากที่ใจกลาง เมื่อก๊าซร้อนในเนบิวลาอัดแน่นจนมีอุณหภูมิสูงถึง 10 ล้านเคลวิน
จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ฟิวชั่น คือ การรวมอะตอมของไฮโดรเจน 4
อะตอม ให้เป็นอะตอมของฮีเลียม 1 อะตอม แล้วปล่อยพลังงานแสงและความร้อนออกมา
ถือกำเนิดเป็นดาวฤกษ์ขึ้น
ดาวฤกษ์ที่เห็นบนท้องฟ้าส่วนมากเป็นดาวในลำดับหลัก
(พฤติกรรมของดาวที่ค่อนข้างคงที่เป็นเวลานาน) เมื่อดาวใกล้หมดอายุจะออกจากลำดับหลักไปเป็น
ดาวยักษ์แดง และมีวิวัฒนาการที่ต่างกันขึ้นอยู่กับมวลตั้งต้นทีกำเนิดเป็นดาว
ดังนี้
ดาวฤกษ์มวลน้อย
ดาวฤกษ์ที่มีมวล <
2 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวแคระห์ขาว (คาร์บอน)
ดาวฤกษ์ที่มีมวล <
8 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวแคระห์ขาว (ออกซิเจน)
ดาวฤกษ์มวลมาก
ดาวฤกษ์ที่มีมวล >
8 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น ดาวนิวตรอน
ดาวฤกษ์ที่มีมวล >
18 เท่าของดวงอาทิตย์ จบชีวิตเป็น หลุมดำ
ช่วงอายุของดาวฤกษ์
อายุของดาวฤกษ์ คือ
ระยะเวลาของการเผาผลาญเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
เมื่อเชื้อเพลิงหมดก็จะเกิดวาระสุดท้ายของดาวฤกษ์ดวงนั้น
สีและการส่องสว่าง ของดาวฤกษ์อาจบอกถึงอายุของดาวฤกษ์ได้ เพราะดาวฤกษ์เกิดใหม่มีพลังงานมาก อุณหภูมิสูงมองเห็นเป็นสีน้ำเงิน
เมื่อเชื้อเพลิงไฮโดรเจนค่อย ๆ ลดลงเป็นลำดับ อุณหภูมิจะเปลี่ยนแปลงลดลงไปด้วย
สีจะเปลี่ยนเป็นสีขาว สีเหลือง และสีแดง ก่อนที่จะจบชีวิตตามลักษณะมวลของดาวฤกษ์ดวงนั้น
วาระสุดท้ายของดาวฤกษ์
เมื่อดาวฤกษ์ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนเกือบหมด ฮีเลียมจะกลายเป็นเชื้อเพลิงต่อไปซึ่งจะเปลี่ยนแปลงเป็นธาตุคาร์บอนและออกซิเจน จนเชื้อเพลิงหมดลง
ดาวฤกษ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจะมีขนาดใหญ่ขึ้น
ขยายเป็นดาวยักษ์แดง ถือเป็นช่วงชีวิตที่สั้นที่สุดของดาวฤกษ์
วาระสุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับมวลสารของดาวฤกษ์ดาวนั้นๆ
ดาวฤกษ์มวลมาก
เป็นดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่
มีมวลมาก สว่างมาก จะใช้เชื้อเพลิงอย่างสิ้นเปลืองในอัตราที่สูงมาก จึงมีช่วงชีวิตที่สั้นกว่า
และจบชีวิตด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงจุดจบของดาวฤกษ์ที่มีมวลมาก คือ
การะเบิดอย่างรุนแรงที่เรียกว่า ซูเปอร์โนวา
(supernova) แรงโน้มถ่วงจะทำให้ดาวยุบตัวลงกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือหลุมดำ
ในขณะเดียวกันก็มี แรงสะท้อนที่ทำให้ส่วนภายนอกของดาวระเบิดเกิดธาตุหนักต่างๆ เช่น ยูเรเนียม ทองคำ ฯลฯ
ซึ่งถูกสาดกระจายออกสู่อวกาศกลายเป็นส่วนประกอบของเนบิวลารุ่นใหม่
และเป็นต้นกำเนิดของดาวฤกษ์รุ่นต่อไป
ดาวฤกษ์มวลน้อย
ดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย ตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์
จะมีแสงสว่างไม่มากจะใช้เชื้อเพลิงในอัตราที่น้อย จึงมีช่วงชีวิตยาวและจบชีวิตลงด้วยการไม่ระเบิดแต่จะยุบตัวกลายเป็นดาวแคระขาวและกลายเป็นแคระดำในที่สุดเมื่อความสว่างหมดลง
ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยและอยู่ใกล้โลกมากที่สุด ซึ่งอยู่ห่าจากโลกของเราประมาณ
150 ล้านกิโลเมตร ดวงอาทิตย์เกิดจากยุบรวมตัวของเนบิวลา
เมื่อประมาณ 5,000 ล้านปีมาแล้ว และจะมีอายุอยู่ต่อไปอีกประมาณ 5,000 ล้านปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น